Technology
เทคโนโลยี
(Technology)
คือ การใช้ความรู้ เครื่องมือ ความคิด หลักการ
เทคนิค ความรู้ ระเบียบวิธี กระบวนการตลอดจน
ผลงานทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ่งประดิษฐ์และวิธีการ
มาประยุกต์ใช้ในระบบงานเพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงานให้ดียิ่ง
ขึ้นและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานให้มีมากยิ่งขึ้น
การนำเทคโนโลยีมาใช้กับงานในสาขาใดสาขาหนึ่งนั้นเทคโนโลยี
มีความสำคัญ 3 ประการ คือ
1.ประสิทธิภาพ (Efficiency) เทคโนโลยีจะช่วยให้การทำงานบรรลุผลตามเป้าหมายได้
เที่ยงตรงและรวดเร็ว
2.ประสิทธิผล
(Productivity) เกิดผลผลิตเต็มที่ ได้ประสิทธิผลสูงสุด
3.ประหยัด (Economy) ประหยัดทั้งเวลาและแรงงาน
ลงทุนน้อยแต่ได้ผลมาก
ความสำคัญของเทคโนโลยี
1.เป็นพื้นฐานปัจจัยจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
2.เป็นปัจจัยหลักที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนา
3.เป็นเรื่องราวของมนุษย์ และธรรมชาติ
วิวัฒนาการเทคโนโลยี (Evolution of
Technolgy)
เทคโนโลยี
มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาเมื่อเวลาผ่านไปขั้นตอนการเปลี่ยนนแปลงขึ้นอยู่กับกระบวนการทางวิวัฒนาการ
(Evolution) ของระบบหรือเครื่องมือนั้นๆ
ดังนั้นคำว่าวิวัฒนาการของเทคโนโลยี (Evolution of Technology) จึงหมายถึง
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระบบหรือเครื่องมือที่เกิดขึ้นอย่างซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับอย่างต่อเนื่องอันมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆ
เทคโนโลยี4.0 (ปัจจุบัน)
Digital 1.0 เปิดโลกอินเตอร์เน็ต
ยุคนี้เป็นยุคเริ่มต้นของ “Internet” เป็นช่วงเวลาที่กิจกรรมและการดำเนินชีวิตของผู้คนเปลี่ยนจากออฟไลน์
(offline) มาเป็นออนไลน์(online) มากขึ้น
เช่น การส่งจดหมายทางไปรษณีย์ก็เปลี่ยนมาเป็นการส่งอีเมล์ E-mail และอีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
คือ การถือกำเนิดของเว็บไซต์ Website ที่ทำให้เราเข้าถึงทุกอย่างได้ง่ายขึ้นและทั่วถึง
การอัพเดตรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมง
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบครั้งใหญ่และเป็นวงกว้าง
การดำเนินกิจกรรมสะดวกและรวดเร็ว
เริ่มมีกิจกรรมเชิงพาณิชย์และโฆษณาผ่านเครื่องมือออนไลน์เสมือนกับมีหน้าร้านที่ทุกคนบนโลกจะเห็นเราได้ง่ายขึ้น
Digital 2.0 ยุคโซเชียลมีเดีย
ต่อยอดจากยุค 1.0 ก็จะเป็นยุคที่ผู้บริโภคเริ่มสร้างเครือข่ายติดต่อสื่อสารกันในโลกออนไลน์
เครือข่ายสังคม Social Network นี้เริ่มจากการคุยหรือแชทกับเพื่อน
สมาคม กลุ่มเล็กๆของผู้คนที่ต้องการความสะดวกสบายในการติดต่อสื่อสาร
จุดเล็กๆนี้เริ่มพัฒนาและขยายวงกว้างไปสู่การดำเนินกิจกรรมในเชิงธุรกิจ
โดยนักธุรกิจส่วนใหญ่มองว่า Social Media เป็นเครื่องมือเชื่อมต่อและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจให้แก่พวกเขาได้เป็นอย่างดีด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว
อีกทั้งยังช่วยในการพัฒนา Brand วัดผลการดำเนินงานของธุรกิจ
ส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ เสมือนว่า Social Media เป็นกระบอกเสียงและเวทีเสนองานแก่นักธุรกิจสู่สายตาชาวโลกเป็นอย่างดี
เครื่องมือโซเชียลยังสามารถเป็นอำนาจในการต่อรองของผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจเลือกสินค้าและบริการ
เนื่องจากมีตัวเลือกและร้านค้าให้เห็นมากขึ้นอีกด้วย
Digital 3.0 ยุคแห่งข้อมูลและบิ๊กดาต้า
ยุคแห่งการใช้ข้อมูลที่วิ่งเข้าออกเป็นล้านๆดาต้าให้เป็นประโยชน์
การเติบโตของโซเชียลมีเดียและ E-Commerce จากยุค 2.0
ทำให้เกิดการขยายของข้อมูลอย่างมหาศาล ทุกแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น สื่อโซเชี่ยล
เว็บเบราวเซอร์ หรือแม้แต่ธุรกิจอย่างธนาคาร โลจิสติกส์ ประกันภัย รีเทล
ต่างมีข้อมูลเข้าออกเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน
และเริ่มมีการนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ดังคำกล่าวที่ว่า “ใครมีข้อมูลมาก
ก็มีอำนาจมาก”
ข้อมูลถูกนำมาประมวลผล จับสาระ
วิเคราะห์ถึงความต้องการของผู้บริโภคเพื่อสร้างสินค้าและบริการที่สามารถตอบสนองโจทย์ของลูกค้าได้
ทุกองค์กรต่างเห็นความสำคัญของการนำบิ๊กดาต้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แต่การนำบิ๊กดาต้ามาตอบสนองอย่างเรียลไทม์นั้น จำเป็นต้องมีระบบคลาวด์ Cloud
Computing มาช่วยอำนวยความสะดวก จัดเก็บข้อมูล
เลือกทรัพยากรตามการใช้งาน และทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลบนคลาวด์จากที่ใดก็ได้
ผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบ ข้อมูลต่างๆผ่านอินเตอร์เน็ต สามารถจัดการ
บริหารข้อมูล และแบ่งปันข้อมูลกับผู้อื่น (Shared Services) ลดต้นทุนและลดความยุ่งยากเพื่อโฟกัสกับงานหลัก
เพิ่มความเร็วในการบริการและการทำธุรกิจได้มากขึ้น
บิ๊กดาต้าสามารถนำมาต่อยอดโดยการคิดค้น เฟ้นหา
และประยุกต์ใช้ข้อมูลนั้น พัฒนาเป็นแอพลิเคชั่น Application ที่ให้ความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภคผ่านทางสมาร์ทโฟนและแท็บเลตอีกด้วย
Digital 4.0 เมื่อเทคโนโลยีมีมันสมอง
และเราก็มาถึงยุคที่ความฉลาดของเทคโนโลยีจะทำให้อุปกรณ์ต่างๆสื่อสารและทำงานกันเองได้อย่างอัตโนมัติ
เทคโนโลยีในสามยุคแรกที่กล่าวไปเปรียบเสมือนเป็นแขน ขา ให้แก่มนุษย์
เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก หยิบจับ คำนวณ ประมวลผมให้มนุษย์ มีแขน
ขา แต่ไม่มีสมองเป็นของตัวเอง ในยุค 4.0 เทคโนโลยีถูกนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อลดบทบาทของมนุษย์
และเพิ่มศักยภาพของมนุษย์ในการใช้ความคิดเพื่อข้ามขีดจำกัด
สร้างสรรค์พัฒนาสิ่งใหม่ๆ โดยจะใช้ชื่อยุคนี้ว่าเป็นยุค Machine-to-Machine
เช่น เราสามารถเปิด-ปิด
หรือสั่งงานอื่นๆกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านตัวเองผ่านแอพลิเคชั่นโดยไม่ต้องเดินไปกดสวิตช์
หรือตัวอย่างที่ถูกนำมาใช้งานจริงแล้วอย่างการพูดคำว่า “แคปเจอร์”
กับแอพถ่ายภาพในสมาร์ทโฟน
โทรศัพท์ก็จะถ่ายรูปให้อัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องกดถ่ายด้วยซ้ำ
หรือแม้แต่เทคโนโลยีซิมูเลชั่น Simulation จำลองสถานการณ์เพื่อฝึกอบรมพนักงาน
วางแผนสถานการณ์โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปถึงสถานที่จริง หรือเป็นสื่อการเรียนรู้แบบ Interactive
เป็นต้น
เทคโนโลยีล้าสมัย
เครื่องวิทยุ AM /FN
ถึงปัจจุบันเราจะสามารถฟังวิทยุผ่านมือถือกันได้เเล้ว
เเต่ทั้งในรถยนต์หรือร้านอาหารข้างทางธรรมดาๆ ก็ใช้วิทยุกันทั้งนั้นนะครับ
เพราะบางทีเปิดมือถือมานั้นส่วนใหญ่ก็กดเกมเล่นกันไม่ก็อ่านเฟสบุ๊คทำให้วิทยุเหล่านี้ก็ยังขายได้อยู่ดีถึงจะน้อยก็ตาม
สายเเจ็คเสียง 3.5mm
สายหูฟังที่ใช้กันมาอย่างยาวนานที่ไม่มีท่าทีว่าจะหายไปง่ายๆ ถึงเเม้ iphone
7 จะนำช่องนี้ออกก็ตามเเต่ก็ยังมีอุปกรณ์อื่นๆ
ที่ใช้กันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ดี
ตลับเกมคลาสสิก
ตลับเกมที่ตอนเด็กๆ
คนที่เคยเล่นน่าจะเคยหยิบเอามาเป่าก่อนเสียบเล่นกัน
ที่ถึงปัจจุบันเครื่องเกมจะเปลี่ยนเป็นเเบบ blu-ray /Digital กันหมดเเล้ว
เเต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่ชอบของคลาสสิกเหล่านี้กันอยู่ที่คลาสสิกสุดๆ ขนาดยังใช้ตลับเล่นกันอยู่นั่นเอง
โทรทัศน์ CRT
เครื่องโทรทัศน์ใหญ่ๆ อ้วนๆ
ที่พบเห็นกันได้ตามร้านอาหารข้างทางทั่วไป
หรือบ้านบางคนที่มีคนเถ้าคนเเก่ที่มีเครื่องเเบบนี้มานานเเล้วที่ยังใช้ดูข่าวดูละครอยู่ทุกวัน
ที่ถึงในตลาดจะมีเเต่ LCD,LED ขายกันหมดเเล้ว
เเต่เครื่องเเบบนี้ก็ยังมีคนใช้กันอยู่ดี
กล้อง Digital
เน่นอนว่ากล้องเเบบนี้นั้นปัจจุบันก็เเทบจะเเทนที่กล้องฟิล์มกันหมดเเล้ว
เเต่ถ้าย้อนไปจุดกำเนิดนั้นก็เรียกได้ว่าเกือบ 20-30 ปีเเล้ว
ซึ่งสิ่งที่ทำให้มันอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะความสะดวกนั่นเองที่ทำให้มีการปรับปรุงขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้ถึงจะคิดค้นกันมานานเเล้วก็ยังใช้กันได้อยู่นั่นเอง
แหล่งที่มา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น